Abstract |
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการผลิตและการตลาดฟาร์มกบโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์รายบุคคลประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงกบในอำเภอเมือง จังหวัดเลย จำนวน 8 รายผลการศึกษาพบว่า การเลี้ยงกบส่วนใหญ่ของเกษตรกรเลี้ยงเพื่อเป็นรายได้ให้กับครอบครัว เกษตรกรมีประสบการณ์ในการเลี้ยงกบเฉลี่ย 4.63 ปี เกษตรกรใช้เวลาในการเลี้ยงกบเฉลี่ย 101.25 วัน/รุ่น กบที่เลี้ยงมีน้ำหนัก 4-5 ตัว/กิโลกรัม โรงเรือน/บ่อที่เกษตรกรใช้เลี้ยงจะเป็นแบบถาวรซึ่งทำจากบ่อซีเมนต์ หลังคามุงด้วยแสลน พื้นบ่อปูด้วยกระเบื้อง ขนาดบ่อเลี้ยงกบของเกษตรกร คือ 3x4 ม. สูง 1.2 ม. เกษตรทำความสะอาดบ่อสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เกษตรกรจะให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ส่วนน้ำที่ใช้เลี้ยงส่วนใหญ่จะใช้น้ำประปา ในปีที่ผ่านมาโรคที่พบมากที่สุดคือ โรคกบขาแดง การรักษาโรคของเกษตรกรจะใช้ยาปฏิชีวนะ จากการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทน พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนทั้งหมด 65,082.82 บาท มีรายได้จากการขายกบทั้งหมด 93,230.21 บาท ซึ่งจะขายกบทั้งหมดเฉลี่ย 1,048.74 กก. เมื่อหักต้นทุนการผลิตเกษตรกรมีรายได้สุทธิ 28,147.39 บาท และเมื่อคิดต้นทุนและผลตอบเฉลี่ยต่อกิโลกรัม พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนทั้งหมด 50.64 บาท/กก. เกษตรกรจะขายกบในกิโลกรัมละ 88.80 บาท โดยเกษตรกรจะจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปเพื่อนำไปบริโภค เมื่อหักต้นทุนแล้วเกษตรกรจะมีรายได้สุทธิ 38.16 บาท/กก.ปัญหาหลักของเกษตรกรผู้เลี้ยงกบ คือ ปัญหาด้านราคาอาหารและยารักษาโรคมีราคาสูง ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนปัจจัยในด้านการผลิต เวชภัณฑ์ วัคซีน และต้องการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำแนะนำดูแลสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลผลิตของกบที่ได้มีคุณภาพที่ดี ต้นทุนต่ำและมีผลตอบแทนสูงขึ้น และเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตกบให้มากขึ้น |