ชื่อบทความ |
ผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการจัดการสารน้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อผลลัพธ์ที่คัดสรร ที่กลุ่มงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชุมแพ |
วัน/เดือน/ปี ที่ได้ตอบรับ |
6 กันยายน 2562 |
วารสาร |
ชื่อวารสาร |
วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ |
มาตรฐานของวารสาร |
TCI |
หน่วยงานเจ้าของวารสาร |
สมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
ISBN/ISSN |
|
ปีที่ |
38 |
ฉบับที่ |
1 |
เดือน |
มกราคม-มีนาคม |
ปี พ.ศ. ที่พิมพ์ |
2563 |
หน้า |
|
บทคัดย่อ |
การจัดการสารน้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างการเริ่มต้นรักษา เพื่อช่วยระบบไหลเวียนโลหิตเป็นความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยและเกิดความรุนแรงจนทำให้มีภาวะคุกคามต่อชีวิตได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการจัดการสารน้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อผลลัพธ์ที่คัดสรร ที่กลุ่มงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชุมแพ โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองแบบ Non-randomized control–group pretest posttest design กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ ผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่เข้ารับการรักษา ที่กลุ่มงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชุมแพ ระหว่างเดือนมีนาคม – กรกฎาคม พ.ศ. 2562 จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้รับการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยทีมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (ตามแนวทางมาตรฐานของโรงพยาบาล) จำนวน 30 ราย และกลุ่มทดลองได้รับการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยทีมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ร่วมกับแนวปฏิบัติการพยาบาลในการจัดการสารน้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 30 ราย ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS version 20 และวิเคราะห์ผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้ Mean ± SD, Independence t–test, Chi-square test และ Relative risk (RR),
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ย Mean Arterial Pressure (MAP) ณ ชั่วโมงที่ 1 และ ณ ชั่วโมงที่ 3 น้อยกว่าผู้ป่วยกลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย MAP ณ ชั่วโมงที่ 1 เท่ากับ 67.67 mm Hg และ 73.07 mm Hg (SD 9.96, SD 8.40) ค่าเฉลี่ย MAP ณ ชั่วโมงที่ 3 เท่ากับ 72.20 mm Hg และ 78.20 mm Hg (SD 4.78, SD 8.58) ผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ย Serum lactate level ณ ชั่วโมงที่ 3 และ ณ ชั่วโมงที่ 6 มากกว่ากลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่าเฉลี่ย ณ ชั่วโมงที่ 3 เท่ากับ 3.36 mmol/L และ 2.17 mmol/L (SD 1.31, SD .85) ค่าเฉลี่ย Serum lactate level ณ ชั่วโมงที่ 6 เท่ากับ 3.39 mmol/L และ 1.76 mmol/L (SD 1.71, SD .61) ผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ย Urine output ณ ชั่วโมงที่ 3 น้อยกว่าผู้ป่วยกลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าเฉลี่ย 0.96 mL/kg/hr. และ 3.33 mL/kg/hr. (SD 1.25, SD 2.61) นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับแนวปฏิบัติการพยาบาลเกิดการเพิ่มของค่า MAP ≥ 65 mm Hg ณ ชั่วโมงที่ 1 มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับแนวปฏิบัติการพยาบาล 1.58 เท่า (RR = 1.58, 95% CI 1.70–27.75) ผู้ป่วยกลุ่มทดลองเกิดการลดลงของค่า Serum lactate level < 2 mmol/L ณ ชั่วโมงที่ 3 มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบ 4 เท่า (RR = 4, 95% CI 1.48–24.99) ผู้ป่วยกลุ่มทดลองเกิดการลดลงของค่า Serum lactate level < 2 mmol/L ณ ชั่วโมงที่ 6 มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบ 3.14 เท่า (RR = 3.14, 95% CI 2.8–29.13) ผู้ป่วยกลุ่มทดลองเกิดการเพิ่มของค่า Urine output ≥ 0.5 mL/kg/hr. ณ ชั่วโมงที่ 3 มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 1.61 เท่า (RR = 1.61, 95% CI 2.31–161.56) พยาบาลวิชาชีพมีค่าเฉลี่ยความมีวินัยต่อการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาลอยู่ในระดับสูงร้อยละ 98.75 (SD 5) และพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลอยู่ในระดับพึงพอใจมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.69 คะแนน (SD 0.47)
ผลการวิจัยสะท้อนให้ว่า แนวปฏิบัติการพยาบาลสามารถช่วยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่ได้รับการจัดการสารน้ำมีความปลอดภัย พยาบาลวิชาชีพมีวินัย และมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล อย่างไรก็ตามควรศึกษาต่อเนื่องไปยังหอผู้ป่วยหนัก หรือหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เพื่อยืนยันผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการจัดการสารน้ำในโรงพยาบาล
|
คำสำคัญ |
การจัดการสารน้ำ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด แนวปฏิบัติการพยาบาล |
ผู้เขียน |
|
การประเมินบทความ |
มีผู้ประเมินอิสระ |
สถานภาพการเผยแพร่ |
ได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ |
วารสารมีการเผยแพร่ในระดับ |
ชาติ |
citation |
ไม่มี |
เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ |
เป็น |
แนบไฟล์ |
|
Citation |
0
|
|