ชื่อบทความ |
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดเกษตรกรในเขตพื้นที่ตำบลยางอู้ม อำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ |
วัน/เดือน/ปี ที่ได้ตอบรับ |
8 เมษายน 2563 |
วารสาร |
ชื่อวารสาร |
วารสารวิจัยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
มาตรฐานของวารสาร |
TCI |
หน่วยงานเจ้าของวารสาร |
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
ISBN/ISSN |
|
ปีที่ |
13 |
ฉบับที่ |
4 |
เดือน |
ตุลาคม-ธันวาคม |
ปี พ.ศ. ที่พิมพ์ |
2563 |
หน้า |
|
บทคัดย่อ |
การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรในพื้นที่ ตำบลยางอู้ม อำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ รวมทั้งระดับความเสี่ยงการตกค้างของสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือด โดยศึกษาในกลุ่มเกษตรกร จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือแบบสอบถาม และการตรวจคัดกรองหาระดับความเสี่ยงของสารเคมีตกค้างในเลือดเกษตรกร โดยการใช้กระดาษทดสอบ (Reactive Paper) ตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม ด้านความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และด้านความเที่ยง โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสด้วยวิธีการพหุถดถอยโลจีสติก (Multiple logistic Regression) นำเสนอขนาดความสัมพันธ์ด้วยค่า Adjusted odds ratio (ORadj) และช่วงความเชื่อมั่น 95%
ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกร เป็นเพศหญิง ร้อยละ 56.8 อายุเฉลี่ย 50.4±10.6 ปี มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 76.5 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 62.9 ระยะเวลาในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เฉลี่ย 19.8 ±16.2 ปี และในช่วงระยะหนึ่งปี เกษตรกร ส่วนใหญ่ใช้เวลาประกอบอาชีพเกษตรกรรม เฉลี่ย 7.1 ±3.5 เดือน โดยทำการเกษตรที่ประเภทปลูกพืชไร่และทำนาเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.2 ผู้ฉีดพ่นสารเคมีส่วนใหญ่ร้อยละ 46.2 เป็นแรงงานจาครอบครัวและแรงงานรับจ้าง การรับสัมผัสสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช คือ ร้อยละ 59.8 เป็นผู้ ผสมสารเคมี และฉีดพ่นเอง และ ร้อยละ 28.0 มีการใช้ชนิดสารเคมีส่วนใหญ่ คือ พาราควอต ร้อยละ 67.6 เกษตรกรส่วนใหญ่จากการตรวจคัดกรอง ร้อยละ 37.1 มีระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดอยู่ในระดับปลอดภัย รองลงมา มีระดับไม่ปลอดภัย ร้อยละ 35.6 ระดับมีความเสี่ยง ร้อยละ 22.7 และมีระดับปกติ ร้อยละ 4.6 เมื่อพิจารณาระดับเอนไซม์โคลีนเอสเคอเรสในเลือดเป็น 2 ระดับ คือ ระดับปกติ (ระดับปลอดภัย + ระดับปกติ) และระดับผิดปกติ (ระดับความเสี่ยง+ ระดับไม่ปลอดภัย) พบว่า เกษตรกรมีระดับเอนไซด์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดอยู่ในระดับผิดปกติ ร้อยละ 58.3 และระดับปกติ ร้อยละ 41.7 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรที่เป็นเพศชาย มีโอกาสเสี่ยงที่ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส
ในระดับผิดปกติ เป็น 2.46 เท่า เมื่อเทียบกับเกษตรกรที่เป็นเพศหญิง (ORadj =2.46, 95% CI: 1.06- 5.68; p-value = 0.036) เกษตรกรที่ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีโอกาสเสี่ยงที่ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในระดับผิดปกติ เป็น 2.82 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มเกษตรกรที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช (ORadj =2.82, 95%CI: 1.09 - 7.29; p-value =0.032) และเกษตรกรมีการปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชในระดับไม่ดีมีโอกาสเสี่ยงที่ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในระดับผิดปกติ เป็น 5.25 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีการปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชในระดับปานกลางและระดับดี(ORadj =5.25, 95% CI: 2.24 - 12.33; p-value <0.001) ดังนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรมีการจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้กับเกษตรกรในชุมชน ตามแนวทางของกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
|
คำสำคัญ |
สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส |
ผู้เขียน |
|
การประเมินบทความ |
มีผู้ประเมินอิสระ |
สถานภาพการเผยแพร่ |
ได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ |
วารสารมีการเผยแพร่ในระดับ |
ชาติ |
citation |
ไม่มี |
เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ |
เป็น |
แนบไฟล์ |
|
Citation |
0
|
|